นางสาวณัฏฐณิชา หลีเกษม

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของประเทศฝรั่งเศส ได้ประกาศว่า นักเรียนในประเทศจะถูกห้ามใช้ และห้ามนำโทรศัพท์มือถือเข้าห้องเรียน ซึ่งสำหรับกฎนี้ทางรัฐบาลได้พิจารณามาสักระยะหนึ่งแล้ว และจะเริ่มใช้อย่างจริงจังในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นช่วงเปิดเทอมของนักเรียน - นักศึกษา ในประเทศฝรั่งเศส กฎใหม่อันนี้จะทำให้ไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือ ในระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนและช่วงพักเบรคด้วยเช่นกัน กฎเกณฑ์นี้เป็นนโยบายของประธานาธิบดี  Emmanuel Macron  ได้กล่าวไว้ในช่วงหาเสียง กล่าวว่า  "โทรศัพท์ทำให้นักเรียนสูญเสียสมาธิในการศึกษา และช่วงพักเบรคจากเดิมที่มักจะร่วมกันทำกิจกรรมสร้างสรรค์หรือพูดคุยกันเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่กลายเป็นว่านักเรียนกลับใช้เวลาเกือบทั้งหมดในช่วงระหว่างวัน โฟกัสไปที่โทรศัพท์มือถือ และสื่อโซเชียลมีเดียอื่นๆ มากกว่า" โดยกล่าวอีกว่า ระเบียบที่ออกมานั้นมีเพื่อให้ผู้ปกครองได้รับรู้ว่าและรับทราบว่าเด็กและเยาวชนนั้น ไม่ควรที่จะใช้เวลากับหน้าจอโทรศัพท์มากเกินไป แม้ยุคปัจจุบันนี้โทรศัพท์มือถือมีความจำเป็นอย่างมากก็ตามซึ่งกฎหมายเหล่านี้ยังมีข้อโต้แย้งและถือว่าเป็นกระแสวิพา

CampusFrance Thailand หน่วยงานของรัฐบาลประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือนักศึกษาในการวางแผนการศึกษาต่อในประเทศฝรั่งเศส เริ่มตั้งแต่การหาข้อมูลหลักสูตรต่างๆ ทุนการศึกษา การเตรียมเอกสารการสมัครเรียน การติดตามผลการสมัครเรียนกับสถาบันการศึกษาของฝรั่งเศส ข้อมูลเรื่องทุนการศึกษา ให้ข้อมูลในเรื่องของการเตรียมไปเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ประเทศฝรั่งเศส มาดูกันครับว่า "เรียนปริญญาตรีที่ฝรั่งเศส ทำอย่างไร เริ่มอย่างไร?" ขออธิบายง่ายๆ... 1. ทำความเข้าใจก่อนว่าระดับปริญญาตรีของฝรั่งเศส หลักสูตรส่วนมากยังสอนเป็นภาษาฝรั่งเศส หมายความว่าผู้เรียนต้องมีระดับภาษาฝรั่งเศส (DELF/DALF/TCF) อย่างน้อยในระดับ B2 ในการสมัครเรียนหลักสูตรต่างๆ ในขณะที่หลักสูตรภาษาอังกฤษ(อินเตอร์) ส่วนมากจะอยู่ในสถาบันเอกชนเสียส่วนใหญ่ และจำกัดในบางสาขาวิชาเท่านั้น 2. หากสนใจไปเรียนระดับปริญญาตรี เริ่มต้นอย่างไร? 2.1 เริ่มด้วยการหาหลักสูตรที่ถูกใจ จากแหล่งข้อมูลหลักสูตรที่ได้รับการรับรองโดยรัฐบาลฝรั่งเศส / ยุโรป http://cataloguelm.campusfrance.org/licence/ และแหล่งข้อมูลหลักสูตรที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ http://tau

การทำให้สมองมีความฉลาดหลักแหลมนั้นเราต้องฝึกและทำในสิ่งที่ท้าทายโดยการทำกิจกรรมฝึกสมองเป็นประจำ คนที่ฝึกสมองอยู่เป็นประจำจะมีสมองที่ชาญฉลาดมากกว่าคนที่นั่งเฉยๆ และไม่ฝึกทำอะไรเลย ยกตัวอย่างง่ายๆ ของการฝึกสมอง เช่น การอ่านหนังสือ การเข้าฟังการอบรม การฟังวิทยุ การเล่นเกม การไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ หรือการเรียนภาษาอีกภาษาหนึ่งเพิ่มเติมจากภาษาเดิมที่เคยเรียนรู้แล้ว สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้สมองได้รับการพัฒนามากขึ้น คราวนี้ให้เราลองมาใช้วิธีฝึกสมองอย่างง่ายๆ กัน ดังนี้ 1. เปลี่ยนความจำเจ เราคงจำได้ว่าเมื่อสมัยเป็นเด็ก เรามักจะชอบพูดคำผวนเป็นการสื่อสาร นั่นคือการฝึกสมองทางด้านของภาษา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดุ๊ก เรียกการกระทำเหล่านี้ว่าการฝึกระบบประสาทซึ่งเป็นการท้าทายสมองให้คิดในสิ่งใหม่ กุญแจของการเรียนรู้คือการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ดังนั้น เราจึงควรฝึกฝนสิ่งเหล่านี้อยู่เป็นประจำ หากเราเป็นคนถนัดมือขวาให้ลองใช้มือซ้ายในการทำงานบ้าง หรือหากเราขับรถมาทำงานโดยใช้เส้นทางเดิมเป็นประจำให้เราลองเปลี่ยนเส้นทางเป็นเส้นทางใหม่ดูบ้าง หรือใช้วิธีการปิดตาและลองทายว่าอาหารที่เรากำลังรับประทานนั้นคืออะไร 2.

ความฉลาด ความเก่ง ความรอบรู้ การเป็นดาวเด่นในที่ทำงาน การได้มีโอกาสเป็น Keyman ของโปรเจกต์สำคัญหลาย ๆ เรื่อง หากมองในแง่ความก้าวหน้าก็ถือว่าเป็นคนทำงานที่ฉายแววโดดเด่น มีโอกาสไปได้ไกลในสายงานมากกว่าคนอื่น ๆ แต่ความสำเร็จที่ได้รับในขั้นแรก ๆ ของการทำงานนี่แหละ ที่บางครั้งก็อาจเป็นดาบสองคม ทำให้คนเก่งหลาย ๆ คน ติดกับดักความเก่งของตัวเอง จนในที่สุดไม่สามารถไปได้ไกลในสายงานได้ตามที่มุ่งหวัง   อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้คนเก่งไม่สามารถไปได้ไกลในสายงาน ความเก่งทำให้เราหลงลืมอะไรไป หรือนำไปสู่เรื่องเฟล ๆ ในการทำงานได้อย่างไรบ้าง วันนี้เราจะมา ชวนให้คนทำงานหันมาคิด พิจารณาตัวตน แล้วค้นหาจุดแห่งความสมดุล ที่จะเกื้อหนุนทั้งความสำเร็จในสายงาน และความสุขในชีวิตดังที่ทุกคนต้องการ 1. คนเก่งที่ทำทุกอย่างคนเดียว การที่คนเก่งชอบทำอะไรเองทุกอย่าง น่าจะเกี่ยวข้องมาจากข้อที่แล้วว่าชอบให้ทุกอย่างเป๊ะ ๆ พอคนอื่นทำไม่ได้ดั่งใจ ก็เลยเกิดความไม่ไว้ใจ ต้องลงมือทำทุกอย่างเพียงลำพัง ประกอบกับอยากได้หน้าโชว์ความเก่งของตัวเองแบบเต็ม ๆ ก็ยิ่งไม่ปล่อยให้เพื่อนร่วมงานได้ทำหน้าที่ตามที่ควรจะเป็น คนเก่งประเภทนี้หากต้องเจ