ฝรั่งเศส(ตำนานน้ำหอม)

                     ฝรั่งเศส (ตำนานแห่งน้ำหอม)

 ความจริงแล้ว นํ้าหอมนี่เกิดมาก่อนประเทศฝรั่งเศสเสียอีก ค่ะเชื่อกันว่าน้ำหอม หรือ เครื่องหอมมีใช้กันตั้งแต่เมื่อ 3,000 ปีก่อน โดยพวกพระนักบวชของอียิปต์โบราณ ใช้ประกอบในพิธีการบูชาเทพเจ้าของพวกเขา และ นักโบราณคดีอียิปต์วิทยา ก็มีการพบภาพวาดบนกำแพงของวิหารแห่งพระราชินีแฮพเซปสุต Hatshepsut* ที่ตั้งอยู่ที่เมืองหลวงเก่าคือ Thebes ที่เขียนเป็นรูปหญิงสาวกำลังชะโลมนํ้าหอมลงบนศรีษะของตนเอง
(*ฟาโรห์หญิงแฮพเซปสุต นี่ฉวยโอกาสตอนที่พอสามีตาย และรัชทายาทยังอายุน้อยอยู่ เลยแย่งอำนาจขึ้นเป็นฟาโรห์ และ ก็พยายามจะปลอมตัวเป็นชายด้วยการใช้หนวดเคราเทียม ค่ะ)

 และพอเมื่อชาวกรีกเริ่มเดินเรือเข้าไปค้าขายกับพวกอียิปต์ ก็เลยมีการนำเอา เครื่องกำยาน และ น้ำหอมเหล่านี้ กลับไปประเทศตนเองด้วย แล้วกรีกก็สามารถพัฒนาความรู้ใหม่จนสามารถใช้กระบวนการกลั่นด้วยความร้อน สกัดเอานํ้ามันหอมออกจากไม้กำยาน ที่แแต่ก่อนต้องนำไปเผาเพื่อให้ได้กลิ่นหอมจากควันของมัน คำว่าน้ำหอม หรือ "Perfume” นี้ เลยมีรากศัพท์มาจากคำกรีกที่แปลตรงตัวว่า “ควันหอม” ค่ะ

 อ้อ! นํ้าหอมที่เคยถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกผูกขาดการผลิตโดยพวกนักบวชอียิปต์ และ พยายามเก็บสูตรให้เป็นความลับสุดยอดนั้น พอมาถึงพวกกรีก กลับกลายสภาพเป็นอุตสาหกรรมภายในครัวเรือนของแม่บ้านชาวกรีก และพวกเธอนั่นหล่ะครับ เริ่มเอาน้ำหอมมาใช้ในการประทินผิว แต่พวกกรีกก็ยังคงเอาน้ำหอมมาใช้ร่วมกับการประกอบพิธีทางศาสนา โดยเขาจะเอามันไปชโลมร่างกายของคนตาย ก่อนนำไปฝัง ค่ะ

 พอมาถึงยุคจักรวรรดิโรมัน (Roman)รุ่งเรือง พวกโรมันจะใช้ยางของต้นไม้จำพวก Boswellia ที่สั่งเข้ามาจากเอเซียไมเนอร์ (บริเวณแถวประเทศตุรกีปัจจุบันไปจนถึงอิรัก) แต่เขาจะผสมเครื่องเทศที่มาจากอินเดียเข้าด้วย ชาวโรมันมีความเชื่อว่าน้ำหอมมีคุณสมบัติในการบำบัดโรคร้ายต่างๆได้ น้ำหอมรุ่งเรืองมากในยุคนี้ เพราะมีใช้กันทั่วไป เล่ากันว่าพวกเศรษฐีโรมันนี่ เขาใช้นํ้าหอมกันแบบล้างผลาญเลยทีเดียว คือ เขาจะเอานํ้าหอมไป ทั้งพ่น ทั้งฉีด ตามพื้น ตามกำแพงของบ้าน แถมยังเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์เลี้ยงต่างๆ ไม่ว่า จะเป็นหมา หรือ ม้า ค่ะ

 เสียดายที่ศาสตร์น้ำหอมของโรมันนั้น สูญหายไปพร้อมๆกับกรุงโรม ที่ถูกทำลายลงโดยพวกป่าเถื่อนวิสิโกต  ที่นอกจากจะโจมตีและเผากรุงโรมทิ้งแล้ว คนพวกนี้ก็ยังทำลายระบบน้ำประปา (Aquaduct) ที่หล่อเลี้ยงเมืองอยู่ และ พอไม่มีน้ำ กรุงโรมถูกทิ้งให้กลายเป็นเมืองร้าง พวกวิสิโกตเองก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ครับ ต้องอพยพไปอยู่แถวๆสเปนโน้นแน่ะค่ะ

 น้ำหอมกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในยุคกลาง (Middle ages) คราวนี้ไม่ได้สกัดมาจากยางไม้แล้ว เพราะแขกเปอร์เซีย เป็นพวกแรกที่สามารถกลั่นนํ้าหอมออกจากดอกไม้ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เลยทำให้ในอาณาจักรเปอร์เซียมีการทำไร่ดอกกุหลาบขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพื่อนำมาสกัดเป็นนํ้าหอม แถม”แบกแดด" เมืองหลวงของอาณาจักร ก็ยังถูกเรียกว่า "เมืองแห่งกลิ่นหอม” (City of Fragrances) เพราะพวกเปอร์เซียอีกนั่นหล่ะครับ ที่คนพบเทคนิคในการสกัดกลิ่นหอมออกจากตัวชะมด แล้วเอามันไปผสมกับปูนขาว จากนั้นก็นำปูนขาวผสมนี้ไปฉาบผนังตึกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สุเหร่า (Mosque) หรือ พระราชวัง ซึ่งทำให้อาคารเหล่านั้นมีกลิ่นหอม กระจายไปทั่วเมืองแแบกแดดเลย ค่ะ

 และแล้วน้ำหอมก็มีโอกาสเดินทางกลับไปที่ยุโรปอีกครั้ง ก็เพราะเกิดสงครามครูเสดอันศักดิ์สิทธิ์แย่งชิงเมืองเยรูซาเล็มกัน พวกนักรบ Crusaders จากยุโรปที่พ่ายแพ้กลับบ้านไป เกิดติดใจนำเอาวัฒนธรรมต่างๆของพวกแขกอิสามตามกลับไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรุงอาหารด้วยเครื่องเทศ หรือ การเผากำยานเพิ่มความหอมในตัวอาคาร  พอความต้องการเครื่องเทศ เครื่องเทศมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มันเลยทำให้เมืองเวนิส( Venice)ที่เป็นเมืองท่าหลักในการค้าขายกับพวกอาหรับ เติบโตจนกลายเป็นมหาอำนาจแห่งการค้าระหว่างพวกแขกอาหรับ กับ ฝรั่งที่ต้องการเครื่องเทศ เครื่องหอม เหล่านั้น

 สินค้าสุดหรู่อย่างหนึ่งที่เป็นที่นิยมในการซื้อขายกัน ก็คือ น้ำหอมที่สกัดออกมาจากดอกไม้ครับ เวนิซเกิดโชคดีซ้ำเข้าไปอีก ก็เพราะมีชาวเวนิซคนหนึ่งที่ชื่อ มาร์โคโปโล ( Marco Polo) เขาเป็นนักสำรวจที่สามารถเปิดเส้นทางการค้าที่เราเรียกว่า “ทางสายไหม” (Silk Road) โดยเดินทางสำรวจเส้นทางจากเวนิซมาที่ประเทศจีน จนได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้กุบไล่ข่านแห่งมองโกลที่ปกครองจีนอยู่  พอตอนขากลับเขาก็นำเอา พวกเครื่องเทศอย่าง พริกไทย, ลูกจัน, กานพลู กลับไปด้วย มันยิ่งทำให้พวกฝรั่งตาน้ำขาวได้มีโอกาส รู้จักลองใช้พวกเครื่องเทศหอมแปลกๆเหล่านี้ ตลาดเครื่องเทศที่เวนิซเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมีพ่อค้าหัวใสชาวอาหรับที่เลียนแบบมาร์โคโปโล เอาเครื่องเทศแปลกๆ ใหม่ๆ จากที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อบเชย, ขิง, ลูกกระวาน และ Saffron ( หญ้าฝรั่งชนิดหนึ่งมีสีส้ม) เข้ามาขายที่เมืองเวนิซ สุดท้ายเลยมีการเอาเครื่องเทศเหล่านี้หล่ะครับ มาปรุงผสมกับน้ำหอมจากดอกไม้ จนกลายเป็นน้ำหอมกลิ่นต่างๆมากมาย

 ในยุคนั้นน้ำหอมเริ่มมีขึ้นมากมาย จนต้องมีการโฆษณาแย่งกันขาย ชวนเชื่อว่า น้ำหอมเขาดี อย่างงี้ อย่างงั้น เล่ากันว่ามีน้ำหอมออกใหม่ที่สกัดมาจาก Rosemary นี่เกิดดังมากๆ เพราะเอาไปผูกกับตำนาน (ไม่ยืนยันว่าจริงนะครับ) ที่เล่ากันว่าในช่วงปี คศ 1380 ราชินีอลิซาเบธ ของฮังการี ( Queen Elizabeth of Hungary) ตอนอายุได้ 70 และ ร่างกายก็ทรุดโทรม แต่พอได้ดื่มน้ำหมักหอมที่ทำมาจากใบโรสแมรี่ ทำให้ร่างกายของเธอกลับมา เต่ง ตึงจนสวยเหมือน คุณอาภัสรา อีกครั้ง จนถึงขนาดที่พระราชาแห่งโปแลนด์ ( Poland) อยากจะมาขอแต่งงานด้วยเลย แล้วก็ทำให้น้ำหอมนี้ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ครับ

 เพียงแต่พอเมื่อโคลัมบัสค้นพบโลกใหม่(อเมริกา) และ วาสโก เดอ กาม่า พบเส้นทางเดินเรืออ้อมทวีปแอฟริกาที่มาเอเซียได้สะดวกขึ้น ตอนศตวรรษที่ 14 มันก็เลยทำให้เมืองเวนิส ( Venice) ต้องสูญเสียตำแหน่งเมืองหลวงของของน้ำหอมไป เพราะว่า พวกโปตุเกส และ สเปน นั้นกลับผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ ผูกขาดการค้าเครื่องเทศแทน และ ก็มีการนำเอาเครื่องเทศใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น วานิลา, โกโก้, ใบยาสูบ, อบเชย เข้ามาเปิดตลาดใหม่ ในตอนนี้เองที่กระบวนการปรุงน้ำหอมนั้นเริ่มซับซ้อนขึ้นเป็นมาตรฐานคล้ายๆกัน แล้วเรียกว่า Eaux De Senteur จนตกในราวปี คศ 1500 พวกดัช (Dutch)ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ก็สามารถที่จะเคี่ยวผสมน้ำหอมให้เข้ากับแอลกอฮอล์ได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกของโลก มันทำให้น้ำหอมมีคุณสมบัติในการฟุ้งกระจาย ครับ

 พวกฝรั่งเองมาเริ่มแตกตื่น นิยมที่จะใช้น้ำหอมอย่างเป็นจริงเป็นจัง ก็หลังจากที่ทวีปยุโรปมีการแพร่ระบาดของกาฬโรคขนานใหญ่ จนคนตายกันไปเป็นนับล้าน ทำให้พวกฝรั่งเริ่มหันมาสนใจในเรื่องสุขลักษณะมากขึ้น ครับ ก่อนหน้านั้น พวกฝรั่งนี่จะค่อนข้างจะสกปรกมากๆ เขาจะถ่ายหนักลงในกระโถนแล้วก็เททิ้งออกมาทางหน้าต่างตรงๆไปบนท้องถนนเลยทีเดียว แต่ก็ยังดีนะครับ ที่เขามีธรรมเนียมที่จะตะโกนบอกให้รู้ตัวกันก่อน เตือนพวกชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา หลบได้ทัน พอเห็นคนตายจากการระบาดของกาฬโรค ก็เลยตื่นตัวรักษาความสะอาดกันมากขึ้น และ ก็เริ่มมีความ เชื่อกันว่าน้ำหอมนี่หล่ะครับ ที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคได้

 ศาสตร์ของน้ำหอมถึงจุดรุ่งเรืองที่สุดในศตวรรษที่ 17 มีการปรุงเครื่องเทศบางอย่างกับดอกไม้เข้าด้วยกัน จนทำให้น้ำหอมเริ่มมีคุณสมบัติที่ช่วยจำกัดกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาจากร่างกายเราได้ ในช่วงนี้หล่ะครับ ที่ฝรั่งเศสได้รับตำแหน่งเมืองหลวงแห่งน้ำหอมมาครองอย่างแท้จริง เพราะคนฝรั่งเศสที่บ้าคลั่งน้ำหอมเอามากๆ เล่ากันว่าให้เราลองไปนับจำนวนห้องน้ำในพระราชวังแวร์ซายดูซิว่ามีเท่าไหร่? ซึ่งจะเห็นว่ามันมีน้อยมาก และ แต่ละห้องก็ห่างกันมากๆ  ทีนี้เวลาบรรดาสาวไฮโซ เกิดปวดทุกข์แบบกระทันหัน เกิดเดินไม่ทันแล้วหล่ะก็ พวกเธอจะอาศัยตามมุมสวนต่างๆ นั่นหล่ะครับ เป็นที่ปลดปล่อยพอเสร็จภารกิจ ก็จะอาศัยพรมน้ำหอม แล้วก็สามารถออกมาเดินกรีดกรายต่อได้เลย  ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี่ นอกจากน้ำหอมแล้ว ก็ยังมีการผลิตของหอมต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แป้งหอม เทียนหอม แต่ที่แปลกสุดคือ ถุงมือหอมสำหรับคนชั้นสูง โดยการผลิตถุงมือหอมนี้จะถูกผูกขาดกับโรงงานของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

 พอมาถึงปัจจุบันนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักที่จะใช้น้ำหอมแล้วมั้งครับ เพียงแต่ว่าเคล็ดลับในการใช้น้ำหอมที่ดีนั้น ต้องทำให้คนรอบข้างมีความรู้สึกว่าตัวเราหอมเอง โดยไม่ได้ใช้น้ำหอม เคล็ดลับ คือ

 - แต้มน้ำหอมตรงจุดชีพจรหลักๆ อย่าง ซอกคอ หลังใบหู ข้อแขนพับ ข้อมือ เป็นต้น หรือสำหรับคุณสาวๆ ก็แค่เอาสำลีก้อนเล็กๆ หยดน้ำหอมลงไป แล้วใส่ไว้ในเสื้อชั้นในตรงระหว่างทรวงอก
 - ห้ามไม่ให้ใส่น้ำหอมบนเสื้อผ้า
 - หากเป็นไปได้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมเป็นกลิ่นเดียวกันทั้งหมด เริ่มกัน ตั้งแต่สบู่ โลชั่นทาผิว แป้งฝุ่นโรยตัว ไปเรื่อยจนถึงน้ำหอม ครับ
 - ไม่ควรใช้น้ำหอมมากจนเกินไป มันจะไม่เหมือนธรรมชาติที่เราต้องการให้คนคิดว่าตัวเราหอม ไม่งั้นจะกลายเป็นที่ลำคาญต่อคนข้างเคียงที่จะฉุนจนชวนจาม

 ยังไงก็ตามครับ น้ำหอมมันก็แค่ทำให้ร่างกายภายนอกของเราหอมได้เท่านั้น อย่าไปกังวลกับมันมาก จิตใจภายในที่ดีเท่านั้นหล่ะค่ะ ที่สำคัญกว่า อย่างที่เคยมีคนพูดไว้ว่า
"An idealist is one who, on noticing that a rose smells better than a cabbage, concludes that it makes a better soup.”
"พวกที่เพ้อฝันจนเป็นอุดมคติเท่านั้น ที่บอกว่ากุหลาบหอมกว่ากระหล่ำ และจะเอาไปทำซุปได้อร่อยกว่า"

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โร้คฟอร์ชีส (Roquefort)

ธงชาติฝรั่งเศส (le tricolore)

9 เหตุผลที่คนเก่ง ก้าวไปได้ไม่ไกลในสายงาน